ยางสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามแหล่งที่มาและกระบวนการผลิต ดังนี้:
1. ยางธรรมชาติ (Natural Rubber - NR)
เป็นยางที่สกัดจากต้นยางพารา มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงกระแทกและการสึกหรอ แต่มีข้อเสียคือไม่ทนต่อน้ำมันและสารเคมี
2. ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber)
ยางสังเคราะห์มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันตามการใช้งาน โดยทั่วไป ยางสังเคราะห์แบ่งออกเป็นชนิดหลัก ๆ ดังนี้:
1. ยางสไตรีนบิวทาไดอีน (Styrene-Butadiene Rubber – SBR)
เป็นยางที่ใช้งานมากที่สุดในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ มีความทนทานต่อการสึกหรอ
2. ยางนีโอพรีน (Neoprene – CR)
มีความทนทานต่อสารเคมี น้ำมัน และความร้อน ใช้ในการทำซีล ท่อ และสายพาน
3. ยางบิวทิล (Butyl Rubber – IIR)
มีคุณสมบัติกันการรั่วซึมของอากาศและก๊าซ เหมาะกับการทำยางในรถยนต์และท่อส่งแก๊ส
4. ยางไนไตรล์ (Nitrile Rubber – NBR)
ทนน้ำมันและเชื้อเพลิง นิยมใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและการทำซีล
5. ยางบิวทาไดอีน (Butadiene Rubber – BR)
มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการสึกหรอและการแตกร้าวจากการยืดหดตัว ใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์
6. ยางซิลิโคน (Silicone Rubber – Q)
ทนความร้อนสูงและเย็นจัด เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์ และผลิตภัณฑ์ที่ต้องทนต่ออุณหภูมิ
7. ยางฟลูออรีน (Fluorocarbon Rubber – FKM หรือ Viton)
มีความทนทานต่อสารเคมีและความร้อนสูง ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอวกาศ
8. ยางอีลาสโตเมอร์เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic Elastomers – TPE)
สามารถรีไซเคิลได้ มีความยืดหยุ่นคล้ายยางธรรมชาติ แต่สามารถขึ้นรูปได้เหมือนพลาสติก